ผีมีจริงไหม
เรื่องหลอนๆ….ถามว่า
ผีมีจริงไหม ผมเชื่ออย่างสนิทใจครับว่ามี ชีวิตนี้ผมเคยเห็นแบบชัดๆมาแล้ว 5 ครั้ง แต่ขออย่าไปหลงกลัวงมงายให้มากก็แล้วกันมันเป็นอวิชชา เวลาเจอผมเฉยๆ เมื่อก่อนผมวิ่งผ่านป่าช้าเก่า ที่ชาวบ้านร่วมกันทำเป็นสำนักสงฆ์ ทางหลังบ้านทุกวันตอนพลบค่ำ ย่าเคยเล่าว่าเมื่อก่อนคนโดนผีหลอกบ่อย เพราะเจอดวงไฟใหญ่ๆไล่ตาม และที่ใกล้ๆกันคนเคยไปหาปลาตอนวันพระหัวค่ำเห็นไฟลุกทั้งอ่าวที่เป็นหญ้าที่จะลงไปหาปลา ตกใจวิ่งกลับบ้านรุ่งเช้ากลับไปดูไม่เห็นมีอะไร ตอนเด็กๆถ้าอยู่ไกลๆสัก 400 เมตร ผมมองเห็นกลุ่มพุ่มต้นไม้ตรงนั้นเป็นรูปหัวกะโหลกมนุษย์ราว 4 – 5 หัว ย่าเคยใช้ให้สังเกต และย่าเล่าว่ายุคก่อนถ้าใครตายในฤดูน้ำนอง หรือตายในฤดูทำนา เขาไม่มีเวลาทำศพเพราะไม่มีฟอมาลีนและโลงแอร์ เค้าก็จะเอาศพใส่โลงตอกปิดฝาแล้วดึงขึ้นไปไว้บนต้นไม้สูงๆ เพื่อค้างไว้ให้ศพเน่า และเหลือแต่กระดูก บางทีแลนก็มาคุ้ยหาเศษเนื้อกิน พอเสร็จหน้านา 2 ถึง 3 เดือน ก็เอากระดูกไปสวดจัดงานศพ ย่าบอกว่าทวดของผมก็ถูกทำแบบนี้ ชาวบ้านเค้าทำกันแบบนี้ทั้งนั้น ทำให้คนสมัยก่อนหลีกเลี่ยงการเดินผ่านป่าช้ามาก เมื่อก่อนผมบวชและมาจำวัดที่นี่ ตอนนั้นมีพระอยู่ราว 5 รูป ซึ่งกุฎิเต็มผมเลยต้องนอนที่ศาลาเปรียญที่โปร่งไม่มีฝากั้นอาศัยกางมุ้งเอา หลวงพี่พูดว่าบวชพระแล้วจะกลัวผีอีกทำไมแล้วอมยิ้ม ผมกลัวเสียฟอรมตอบตกลงไป เพราะวิ่งช่วงใกล้ๆค่ำให้หลวงพี่เห็นเกือบทุกวัน แต่ในใจก็หวั่นๆคิดไว้แล้วว่าโดนแน่อัตมา….คืนที่สี่กึ่งหลับกึ่งตื่นราวสัก 5 ทุ่ม ผมนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาป่าช้าเห็นเป็นเงาดำทมึนชายร่างสูงใหญ่ สูงราว 3 เมตรเดินเข้ามาหาหยุดและยืนจ้องตาผมอยู่อย่างนั้นราวสักหนึ่งนาทีน่าจะได้ รู้สึกตัวนะแต่หนักหัวมาก ผมขยับตัวไม่ได้เลยแข็งทื่อไปหมด บทสวดก็แล้ว นะโมก็แล้ว ท่องเร็วยังกะเพลงแร็พเลย เพราะตกใจ แต่ก็ยังไม่ไป ผมจึงขมุมขมิบปากว่าไปเถอะเดี๋ยวตี 4 จะเดินไปกรวดน้ำที่ต้นไม้ให้ จากนั้นเงาก็หายไป ผมก็ขยับตัวได้แต่เหงื่อแตกเต็มไปหมดเลย รุ่งเช้าถามหลวงพี่ว่ามันคืออะไร ท่านบอกแบบหน้าตาเรียบๆว่า อ๋อไม่เจ้ากรรมนายเวรก็เป็นเปรตที่มาขอส่วนบุญน่ะ แต่ผมคิดว่าเป็นเจ้าเปลวมากกว่าที่เข้่ามาทักทาย ซึ่งหลังจากนั้นถ้าผมวิ่งผ่านแถวนั้นถ้าผมตกใจก็วิ่งเร็วๆ แต่พอหันหลังกลับไปดูไม่นกก็กระรอก หรือไม่ก็แมว ไก่เถื่อนก็มีนะ พวกสัตว์ไม่กลัวผีเลย เพราะมันไม่มีจิตปรุ่งแต่งหรือถูกสอนว่าผีมีจริง และต้องกลัวผี บางทีเราหลอนเอง เราเห็นผีบ่อยที่สุดส่วนมากมักจะเป็นบริเวณทางหลวงนะเวลาเราจิตอ่อน เช่น ราว 3 เดือนก่อน ที่ทุ่งค่าย(ชาวบ้านกับครูสมัยประถมเล่าว่า สมัยสงคราม 9 ทัพพม่าตีนครศรีฯแตก ได้ใช้จุดนี้เป็นจุดพักตั้งค่ายเพื่อไปตีพัทลุงกับสงขลาอีก ไม่แน่ว่าอาจรบกันตรงจุดนี้ก็ได้ เพราะพัทลุงต้านทัพพม่าเอาไว้ได้ ตามแผนที่ทางภูมิประวัติศาตร์ แถวนี้เป็นจุดกันชนระหว่างนครกับพัทลุง) แถวต้นตะเคียนกวาดลานสามสี่ต้น ที่สะพานดำที่คนชอบเอาศาลพระภูมิไปถวายเป็น 20 30 ศาล ตั้งไว้ 2 ข้างทาง ทางไปหลาดชะอวด ปกติถ้าผ่านจุดนั้นผมจะบีบแตร 3 ครั้งตามธรรมเนียม แต่วันนั้นลืมบีบ ขากลับ ตอนนั้นไม่มีรถแถวนั้นสักคัน ผมเห็นเป็นคนแก่หลังค่อมถือไม้เท้าดำทะมึนเหมือนกับชีปะขาวหรือชูชก เคลื่อนผ่านหน้ารถแบบสโลโมชั่น ประมาณ 3 – 4 วิ ผมจิงบีบแตรทัก ผมดูนาฬิกา เฮ้ย นี่มันแค่ ตี 9.40 เองนะ ผมลืมบีบแตรแค่นี้หยอกทักทายผมเลยหรือ ผมเลยถามคนนั่งข้างว่าเมื่อกี้เห็นอะไรไหม เค้าตอบว่าเห็นอย่างเดียวกันเลย ตกใจเหมือนกัน นี่ถ้าเป็นคนอื่นหักหลบแหกโค้งแน่นอน เพระตัดหน้ารถไม่เกิน 8 เมตร และตรงนั่นรัศมี 1 กิโลเมตรไม่มีบ้านคนเลยและมืดมาก ซึ่งเมื่อราว 10 กว่าปีก่อนตอนผมยังเด็ก มีลุงคนนึงซึ่งเป็นเพื่อนกับพ่อแกเป็นนักเลงพระ เคยเล่าให้ผมฟังว่าเพื่อนแกขับรถกลับจากคาราโอเกะเมาแล้วจอดรถเยี่ยวตรงจุดตั้งศาลพอดี พอเยี่ยวเสร็จขึ้นรถ ปรากฎว่ามีผียืนเอามือค้ำรถทั้งหน้ารถหลังรถเป็น 10 เลย ยืนแบบไม่พูด ไล่ก็ไม่ไปพอตกใจกระทืบคันเร่งจนมิดแล้วรถก็ไม่เคลื่อนเลย จนต้องยกมือไหวขอขมา จึงสามารถเคลื่อนรถออกได้กลับบ้านเป็นไข้หัวโขลนอยู่หลายวัน เมื่อก่อนคิดว่าแกเล่าเรื่องไร้สาระหลอกเด็ก พอผมเห็นกับตาเองชักไม่แน่ใจ….ว่ามันคืออะไรกันแน่ !! พรุ่งนี้ผมจะเล่าเรื่องผีที่ผมเคยเห็นให้ฟังหลอนๆก่อนนอน
(ปล.ภาพไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์)
ขอบคุณเรื่องแนะนำจาก @เสกสรรค์ ทิพย์รัตน์
อย่าลืมติดตาม ตำนานพื้นเมือง ด้วยนะครับ
หากใครอยากอ่านเรื่องเล่าอื่นๆ กดเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น