![]() |
พรานไพร |
พรานไพร
นามปากกา:วิหค กลิ่นเกษร
ขึ้นชื่อว่านายพราน
หลายคนย่อมคิดว่ามีแต่ชาวบ้านป่า บ้านดอน ที่เป็นนายพราน
และเป็นนายพรานเพื่อล่าสัตว์มาเป็นอาหาร ขายเพื่อซื้อของใช้ต่างๆ
แต่บางคนอาจไม่รู้ คนในเมืองไหญ่ ที่เจริญแล้ว บางคนเขาก็ขอบการนอนกลางดิน
กินกลางดง และการออกป่าล่าสัตว์เหมือนกัน เรื่องเจ้าของกระทู้จะกล่าวถึงเศรษฐี
ผู้รักในการผจญภัย และพรานพื้นเมืองคู่ใจของเขา
กระทู้เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ได้ฟังมาจากผู้เฒ่าผู้แก่
และบางส่วนเจ้าของกระทู้ก็เสริมเติมแต่งขึ้นมาเพื่อ ให้ได้อรรถรส
ในการอ่านน๊ะคับหลังจากเศรษฐีผู้ครั่งไคร้ในรสชาติแห่งป่าคิดดีแล้วว่าจะออกไปพักผ่อน
ออกไปหาความท้าทาย จากนั้นก่อนอื่นเขาต้องหาพรานนำทางที่ไว้ใจได้
และเป็นพรานที่เก่ง เขาจึงถามเพื่อนฝูง ที่อยู่ต่างจังหวัด ต่างที่
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เขาก็คิดว่าจะออกไปตามหาพรานนำทาง ที่ชื่อว่า พราน เอิ้น
เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ตาพราน เอิ้น เป็นคนนิสัยใจคอดี น่าคบได้ เป็นกันเอง
ไม่ชอบพิธีรีตรอง แต่นานๆทีแกจะกลับออกมาจากป่าเพื่อเอาของป่ามาขาย และซื้อสิ่งของที่จำเป็น
จำพวกลูกปืน ของใช้ เหล้า บุหรี่ และนำเงินที่ได้มาไห้แม่ เดือนหนึ่ง
ก็จะออกป่าสองถึงสามอาทิตย์ ถ้าได้เนื้อดีๆ หรือเขางามๆก็ออกมาถี่หน่อย
หลังจากที่ได้ฟังเพื่อนเล่า เศรษฐีก็เดินทางไปที่แม่ฮ่องสอนเพื่อตามหาพรานเอิ้น
ซึ่งจะเป็นลูกจ้าง และเพื่อนนำทางแก่เขาครั้นถึงหมู่บ้านที่เศรษฐี จะมาหาพรานนำทาง
เพื่อที่จะจ้างวานให้นำทางเขาเข้าไปผจญภัยในป่า
จขกท. จะใช้ชื่อเศรษฐีว่า วรวุฒิ
วรวุฒิ: ยายคับ
รู้จักบ้านของตาพรานเอิ้นไหมคับ
ยาย: รู้จักอยู่ แกถามหาไอ้เอิ้น
มีธุระอะไรกะมันหรือลูกเอ้ยย
วรวุฒิ:ลุงจากรถแล้วเข้าไปซักถามยายแก่คนหนึ่ง
เพราะความดีใจมากไม่รู้ว่าจะมีคนรู้จัก ตาพรานเอิ้นไวขนาดน
วรวุฒิ: ยายคับ
ตาพรานเอิ้นอยู่บ้านละแวกนี้หรอคับ แล้วแกอยู่ที่บ้านไหมคับ
ยาย: เอ๊ะ ไอ้หนุ่มนี่ มาก็ถามเอาๆ
ไม่ใช่คนแถวนี้เล๊อะไอ้หนุ่ม
วรวุฒิ: ไม่คับ พอดีผมมาจากในกรุงนู่น
ยาย:ออๆ ถึงว่าทำไมผิวพรรณ ผ่องใส
ยายนี่แหละเป็นแม่ของมัน มันอยู่บ้านนั่นแหละ
กำลังกินเหล้ากับเพื่อนๆที่ออกมาจากป่าด้วยกันอยู่
วรวุฒิ:
งั้นคุณยายช่วยนำทางผมไปบ้านด้วยน๊ะคับ
ยาย: บ้านอยู่ไกล อยู่น๊ะ ถ้าอย่างนั้น
ไอ้หนุ่มช่วยพายายไปซื้อของก่อนแล้วกลับพร้อมกันเลย เอ้อดีมากๆลูก
ยายจะได้ประหยัดค่ารถ
วรวุฒ: คับยาย ได้ๆ ฮ่าๆๆ
ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติม ก็บอกผมได้น๊ะคับ
ยาย:เอ้อ เอ้อ คนกรุงนี่ใจดีแท้
วรวุฒิ:ไม่เสมอไปหรอกคับ ยาย
555หลังจาก วรวุฒิ ได้พายาย หรือแม่ของพรานเอิ้นซื้อของเสร็จ
ยายก็พูดคุยตามประสาคนแก่ คุยเรื่องต่างๆของบ้านป่าไห้วรวุฒิฟัง
และคุยเรื่องราวของลูกแกต่างๆนาๆ ว่าแถบดอยแภบเมืองย่านนี้
ไม่มีใครไม่รู้จักลูกของแก เพราะลูกลูกแกเป็นพรานไหญ่ หลังจากคุยกันได้ซั๊กระยะ
ก็เข้ามาถึงบ้านยกสูง ชั้นเดียว ผาบ้านทำจากใบตอง และไม้สาน หลังคาบ้านมุงด้วยหญ้า
วรวุฒิ มองบ้านที่อยู่รอบๆ ก็เห็นว่าคล้ายๆกันหมด เขาก็คิดในใจว่า
"อยู่บ้านนอกก็ดี ไม่ต้องแข่งกะใคร ไม่ต้องหรูหรา ไม่ต้องอวดใคร"
ครั้นแล้วเขาก็ยิ้มออกมา
ยาย: เฮ้ยย ไอ้หนุ่ม
เมื่อไหร่เอ็งจะเข้ามา ยืนยิ้มอยู่นั่นมันร้อนน๊ะ
วรวุฒิ: ออ คับๆๆ
ยาย: นั่นไง ไอ้เอิ้น มีธุระอะไรก็คุยกะมันสิ
ในวงเหล้าที่มีคนจับกลุ่ม 5 คน
ดูหน้าก็ มีคนอายุสัก50 กว่าๆ 1คน อายุ 40 กว่าๆ3 คน อายุ30 ต้นๆ อีกคน1
แกมองดูยายแล้วก็ประมาณสัก80 ปลายๆ ครั้นก็เดินเข้าไปหาคนอายุประมาณ 50
วรวุฒิ: สวัสดีคับพรานเอิ้น
ผู้สนทะนา: 555
ไอ้หนุ่มข้าไม่ใช่พรานเอิ้นหรอก ข้าชื่อสาย นั่นไง ไอ้เอิ้นหนะ
วรวุฒิ:อ้าวหรอคับ ขอโทษคับลุง
ผมนึกว่าพรานเอิ้นจะมีอายุซ๊ะอีก
พรานเอิ้น: คุณมีธุระอะไรกับผมหรอคับ
ดูหน้าค่าตาก็เหมือนคนเมือง
วรวุฒิ: คับผม
ผมมีธุระกับพรานยาวเลยแหละ
พรานเอิ้น: ออ คับ นั่งก่อนๆ แล้วคุณ
ไปไงมาไง ถึงมากับแม่ผมได้
วรวุฒิ: ออ ผมเห็นยายในเมือง
แกกำลังเดินงุบๆเงิ่มๆ ไม่ยักรู้ว่าแก80กว่าๆและ
ยังเดินได้เหมือนคนสี่สิบห้าสิบเลย ผมเลยถามว่ารู้จักพาลเอิ้นไหม พอถามๆไป
ก็มากะแกนี่แหละ
พรานเอิ้น: ฮ่าๆๆ เอ้อดีแท้ มาๆๆๆ...
แล้วทั้ง2โดยที่ไม่นู้จักกันก็คุยกันอย่างถูกคอ
พรานเอิ้น: ลืมแนะนำ
แก่ๆกว่าเพื่อนชื่อตาสาย อีก3คน สามคนนั่น พี่ขัน พี่ลี และพี่ ดำ
เรากินเหล้าไห้สบายใจก่อนค่อยคุยธุระกันน๊ะคับชายทั้ง6คน
ครั้งกินเหล้าจนได้ที่พรานเอิ้นก็ได้เอ่ยขึ้นว่า
พรานเอิ้น:นี่ไอ้ผมก็กินเหล้าคุยกันจนเพลินเลย555
คุณชื่ออะไรคับ
วรวุฒิ: เอ้อดีแฮ๊ะ ผมก็ลืมแนะนำตัวเลย
ผมชื่อวรวุฒิคับ
พรานเอิ้น:ออคับ
คุณเชื่อไหมว่าผมรู้ในใจอยู่แล้วว่าคุณจะจ้างผมให้เป็นพรานนำทางหนะ
แต่บอกไว้ก่อนเลยน๊ะ ค่าจ้างแพงเท่าไหร่ถ้าใจครึ่งๆกลางๆผมก็ไม่รับหรอกน๊ะ
เอาอย่างนี้ ผมจะไห้คุณลองไปนั่งห้างกับตาสายลองดูซั๊กคืน ถ้าอยู่ได้ผมจะรับจ้างคุณ
ตาสาย: "พรานเฒ่า"
กูอีกแล้วเลอะว๊ะ ไอ้เอิ้น ไอ้คนเมืองสามสี่ตัวนั่นโดดห้าง
คราวก่อนก็กูนี่แหละพาไป ไห้คนอื่นพาไปเถอะ กูแก่แล้ว ขี้คร้านจะแบกคนกลับ
วรวุฒิ:555 ผมไม่กลัวขนาดนั้นหรอกคับ
พรานเฒ่า
ตาสาย:ถ้าเกิดอะไร กูไห้คลานกลับ
ไม่แบกใครน๊ะโว้ยเฮ้ยยย
วรวุฒิ:คับผม
ผมก็พอมีประสบการขึ้นยิงกระต่าย ยิงอีเห็นมาบ้างแล้วคับ
ตาสาย:เอ้อดี งั้นวันนี้เลยเป็นไงว๊ะ
ไอ้หนุ่ม ขี้คร้านจะรอ วันมะรืนพวกข้าจะเข้าป่าและ
พอดีอยากยิงหมูที่อ่างหมาขาวพอดี ว่าแต่แกเอาปืนกะกระสุนมาด้วยป่าวว๊ะ
วรวุฒิ: ไอ้ปืนก็ลูกซองปั้มแอ็กชั่น4กระบอก
ไรเฟิ่ลขนาดกลางอีก2กระบอกคับ ลูกปืนก็มากโขเลยคับพรานเฒ่า
ตาสาย: หาาาา ไอ้หน้าขาวนี่
มึงจะออกรบหรอว๊ะ มาเข้าป่าหรือมาปล้นว๊ะ555 ดีแท้ๆ ไอ้หนุ่ม.
ครั้นแล้ววรวุฒิ ก็เดินมาที่รถ
พาตาสายมาดูปืนกับลูกปืนแล้ว เดินกลับวงเหล้า
ตาสาย: นี่ๆพวกเรา ไอ้หนุ่มคนกรุง
มาทำสงครามแน่ๆ55555
วรวุฒิ:555
ผมกะว่าจะเที่ยวป่าสักเดือนหนะคับ
ตายสาย:งั้นวันนี้ข้าจะไห้เอ็งลองฝีมือซ๊ะล๊ะเมื่อตาสายกับวรวุฒิ
แต่งตัวเสร็จก็เข้ามาที่วงเหล้า ทั้ง4คนที่ล้อมวงเหล้าก็ปัวเรามาพร้อมกัน
แล้วซุบๆซิ๊บกันตามประสา
ตาสาย:หัวเราอยู่ได้ เดียวก็ถีบผ่าวงหรอก
ไอ้เด็กพวกนี้
แล้วตาสายกับวรวุฒิ ก็ขึ้นรถ
ตาสายก็บอกทางไปพรางมีทั้งหล่ม ทุลักทุเล และมีขวากหนาม แต่รถจิ๊บกลาง ของวรวุฒิ
ก็ผ่านไปด้วยดี ทั้งขึ้นเขา ลงห้วย ประมาณ10 กิโล ห่างจากหมู่บ้าน
แล้วตาสายก็บอกไห้จอดหน้าจอมปลวกแห่งหนึ่ง
วรวุฒิ: จะไหวไหมหละพรานตาเฒ่า55
เมาซ๊ะตาลอยเลยย
ตาสาย:อย่าดูถูกคนแก่555
ข้ายังจีดอีหนูฟด้สะบายเลยน๊ะไอ้หนุ่ม55555 " เราจอดนี่แหละ
เดินไปสองสามโลก็ถึงอ่างหมาขาวและ ระวังตัวไห้ดีแถะมึง ที่นี่ของมันแรง555
ตาสายพูดจบแกก็นำทางวรวุฒิตรงลึกเข้าไปในป่า
ชี้ไห้ดูรอยหมูป่า รอยเก้ง รอยกวางไปตามเนิน อาการคนที่เมา ตาลอย ไม่ปรากฏ
ไห้หนุ่มคนกรุงเห็นเลย จนหนุ่มคนกรุงแปลกใจ เดินมาได้สักระยะประมาณ 8 ร้อยเมตร
แกก็หยุดแล้ว หันหน้ามาหาวรวุฒิ
ตาสาย:ไอ้หนุ่ม แกดูดบุหรี่ไหมว๊ะ
วรวุฒิ:ดูดคับ มีอะไรคับ
ตาสาย: เอามาไห้ข้ามวน1
แล้วตัดไม้ไผ่กอนั้นมา2กระบอก ข้าจะรออยู่นี่
แล้วทำสายมัดไห้เหมือนกระบอกน้ำน๊ะหนุ่ม...
ครั้นแล้ว วรวุฒิ ก็เดินไปตัดไม้
ทำเชือกสะพายมา2บ้องตามคำพรานเฒ่าบอก
ตาสาย:จะเยี่ยว จะขี้ จะเขี่ยบุหรี่
ก็ทำไส่บ้องนี้น๊ะ
วรวุฒิ: ออ คับ ได้ๆ
จากนั้นทั้งสองก็เดินมาถึง
อ่างน้ำแห่งหนึ่งกว้างประมาณกระด้งผัดใบไญ่ๆ ลึกประมาณโคนขา น้ำใส
และไหลค่อยๆเอื่อยๆเป็นทาง
วรวุฒิ:ถึงแล้วหรอคับ พราน
ตาสาย:555 ถามแปลกๆ
ก็ถึงแล้วสิว๊ะไอ้หนุ่ม
วรวุฒิ: 5555 ผมไม่น่าถามเลยเนาะ
ที่นี่หรอคับที่พรานเฒ่าบอกว่าผีดุ ของแรง และมีคนโดดห้างนักต่อนัก
ตาสาย:ไอ้ชิ๊บหาย ใครใช้ให้แกพูดเรื่องแบบนี้
ไม่รู้กฏของป่า ยังปากหมาอีกน๊ะมึง
"ตาสายยิ้มแหยๆ"หลังจากที่พรานเฒ่าพรึมพรัมอะไรของแก กก็เดินเงอะๆก้มเงย
อะไรของแกไป ส่วนหนุ่มชาวกรุงก็เดินดูรอยต่างๆแล้วมานั่งดูปฏิกิริยาของพรานเฒ่า
ตาสาย: หนุ่มๆแกเอาเปลมาไหม
วรวุฒิ : เอิ่มมม ไม่ได้เอามาคับ
มีอะไรหรอคับ
ตาสาย: เอ้อไอ้นี่ ก็เอามานอนสิว๊ะ
พวกเราไม่ได้ขัดห้างเหมือนพรานอื่นๆหรอก เราจะตัดไม้ท่อน1 ไว้เยียบตอนนอนเปล เออๆๆ
ข้าว่าล๊ะ ข้าเอาเปลมาเผื่อแกอยู่ ทำห้างขัดห้างมันเสียเวลาหนะ นอนเปลสบายกว่า
วรวุฒิ: เราจะนอนบนต้นนี้หรอคับ
ตาสาย:เออสิว่า แล้วแกก็ยิ้มไห้ วรวุฒิ
หลังจาก
ทั้ง2ขึ้นผูกเปลที่กิ่งไม้โดยทำไม้เหยียบไว้แล้ว ตาสายก็พาวรวุฒิ
ผะออกมาจากอ่างน้ำประมาณ20เมตร พาเดินขึ้นไปโขดหินแล้ววางสำภาระ
พากันกินข้าวกินน้ำ จนอิ่มแล้วนั่งคุยกัน ตาสายก็ลูบคลำลูกซองปั้มแอ็กชั่นอันนั้น
แล้วเช็ดถูยิ้มพรางๆตามประสาของแก วรวุฒิ ก็ยิ้มละไม
มองดูพรานเฒ่าอย่างถูกใจแล้วชวนแกคุยเรื่องราวต่างๆ จนถึงเวลา4โมงเย็น
วรวุฒิ:นี่พรานสายคับ
ตาสาย:อะไรของแกว๊ะ ไอ้หนุ่ม
วรวุฒิ: อยากได้หรอ ถ้าอยากได้
ฉันยกไห้ ถ้าพรานเฒ่าถูกใจฉัน5555
ตาสาย:แกอย่ามาล้อเล่นกับคนแก่น๊ะโว้ยย
ไปๆ ได้เวลาแล้ว ขึ้นๆๆ
แกก็เดินนำหน้า
วรวุฒิก็เดินตามพรางยิ้มพราง เพราะรู้สึกว่าถูกใจพรานเฒ่าเข้าแล้ว
พอถึงต้นไม้ที่ผูกเปลไว้ทั้ง2ก็ขึ้นไปนั่นคุยกันสักพักบนเปล
ตาสาย:นี่ไอ้หนุ่ม
แกคอยดูสัตว์เข้ามากินน้ำน๊ะ ข้านอนก่อน ข้าเมามาก เห็นอะไรอย่าโดดน๊ะมึง
"แกก็ทำตาเบลอๆ แล้วก็หลับตาไป"
วรวุฒิ: **คิดในใจ "นี่หรอบททดสอบ
ง่ายดี ล๊ะไม่ว่า"
แล้วเขาก็คิดไปต่างๆนาๆว่าทำไมคนอื่นๆโดดห้างได้น่า
พอคิดไปนอนดูดาวยามย่ำค่ำไป ครั้นแล้ววรวุฒิก็ตะลึงพลึงเพลิดในสายตาที่มองเห็น
แทบไม่เชื่อตัวเอง!!!ในยามย่ำคับประมาณ2ทุ่ม วรุฒิถึงกับผะหงะ เพราะเห็นแสง
สีส้มแก่ๆ เท่าสองกำปั้น มันลอลวูบๆ
วาบๆจะเข้ามาใกล้ต้นไม้ที่เขาแขวนเปลอยู่กับพรานเฒ่า ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
ในใจก็คิดจะสะกิดบอกพรานเฒ่า
แต่กายเขาแข็งทื่อไปหมดทั้งกายและเย็นยะเยือกไปหมดแล้ว
ได้แต่มองแสงวูบๆวาบๆเข้ามาไกล้แอ่งน้ำแล้วลอดใต้ต้นไม้หว่างเปลเขาไป
หัวใจของหนุ่มชาวกรุงตอนนั้นแทบจะหลุดออกมาจากทรวงอก แล้วแสงนั้นก็ลอยวูบๆไปช้าๆ
จนลับตาเขาไป ครั้นไม่กี่อึดใจ ในแสงจันทร์ ที่ส่องสว่าง จนเห็นลายมือนั้น
เขาก็แทบผะหงะ เพราะพรานเฒ่า มาสะกิด ทำเอา วรวุฒิ ถึงกับสะดุ้งจนเปลไหว
แล้วพรานเฒ่าก็กระซิบ
ตาสาย:แกนั่งตาค้างทำไมว๊ะ ฟังนู่น
เสียงหมูมันมาแล้ว เตรียมปืนสิ
วรวุฒิ:"พยัคหน้า"
ทั้งๆที่ยังทำหน้าตาตลึง
ครั้นแล้วเสียงสวบสาบก็ไกล้เข้ามา
ตรงมาที่แอ่งน้ำอย่างกะกอง เหมือนคนสิบคนวิ่งลุยป่ามา ฝูงหมูนับสิบบ้างไล่ขวิดกัน
บ้างดมไปดามดอน บ้างกินน้ำ ส่วนลูกๆของมันก็วิ่งอยู่รอบๆ ชั่วอึดใจหนึ่ง
ปั้มแอ็กชั่นของวรวุฒิ ก็ดังแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ปั้ง ปั้ง ขึ้นสิองนัด
ป่านั้นก็แตกโครมๆไป ชั่วอึดใจหนึ่ง เขาก็ยิ้มให้พรานเฒ่า
พรานเฒ่าถึงกะตลึกพึงเพิดในฝีมือของหนุ่มชาวกรุง เพราะ
เห็นเงาหมูป่าตัวหนึ่งขนาดเขื่องๆ อีกตัวสัก100โลเห็นจะได้
แล้วก็ก็ชวนหนุ่มชาวกรุงนอนตามเดิม
วรวุฒ:''วรวุฒินอนไม่หลับทั้งคืน เพราะบางทีเห็นเป็นเงาคนลางๆ
เหมือนว่าจะเดินเข้ามา แล้วก็หายไป หลายครั้งที่มองเห็นหมูตัวที่ตายเหมือนจะวิ่ง
แล้วขยี่ตามันก็นอนตามเดิม บางครั้งเหมือนไม่แน่ใจ เขาก็เปิดไฟดู มันก็ยังเหมือนเดิม
ตอนคลับคล้ายคลับคลากำลังจะสว่าง วรวุฒิ ได้ยินเสียงสวบสาบเดินมา
นัยตาเขาเห็นเหมือนว่า คนแก่เดินมา แล้วคิดในใจว่า
ใครจะบ้าเดินกลางดงแบบนี้ว๊ะ.....หลังจากหนุ่มคนกรุง ลุกแล้วนั่งบนเปลเบาๆ
แล้วดูชายแก่ๆ เดินเข้ามาจนใกล้อ่างน้ำ แล้วถึงกับต้องคุ่นคิดกับตัวเองว่า
คนบ้าอะไรจะกินน้ำเหมือนแมวกินอาหารในชามเลยว๊ะ!!!
หลังจากหนุ่มคนกรุงนั่งดูได้สักประมาณ2-3วินาที
เสียงปืนลูกซองปั้มแอ็กชั่นอีกกระบอกก็คำรางเสียงปั้งงง สะท้อนไไปทั้งป่า
นียตาของหนุ่มเมืองกรุงก็สะดุ้งเพราะเห็นร่างชายแก ฟุมลงไปก่อนที่จะมีควัญจากปืนระงมขึ้นมา
แล้วไม่กี่วินาทีนั้นเสียงเขาก็ตะโกนขึ้นจนลั่นป่า
วรวุฒิ: ตาพรานเฒ่า ยิงคนทำไม
แก่หงำเหงือกจนตาพรางไปหมดแล้วหรออ บ้าไปแล้ว
เมาค้างจนตามืดตามัวเห็นคนเป็นหมูไปแล้วหรอ จะยิงทำไมไม่สะกิดฉันก่อน
โอ้ยยตายห่าแล้วว จะทำไงทีนี้
ตาสาย: อ้าวไอ้ห่านี่จะสว่างแล้ว
ตามึงแตกแล้วเหรอ มึงแหกตาดูว่ากูยิงอะไร มัวแต่นั่งจ้องอยู่นั่นแหละ
ถ้าอยู่ในดินมันคงคาบคอมึงไปแดกแล้วแหละ คนบ้าคนบออะไรว๊ะ แหกตาดู!!!!
หนุ่มชาวกรุงผละจากหน้าตาที่เกรี้ยวกราดของพรานเฒ่าแล้วค่อยๆหันหน้ามามองบริเวณอ่างน้ำ
เขาถึงกับผะหงะ เพราะนั่นมันเป็นเสือลายพลาดกลอนตัวขนาดลูกวัวตัวเขื่องๆ
แล้วเขาก็รู้สึกใจหายวาบไปชั่วขณะ แล้วทำหน้าซีดตาตื่นแล้วหันมาทางพรานเฒ่า
วรวุฒิ:ตาสาย ผมขอโทด!!
ตาสาย:เออ ก็ดีแล้ว
แล้วเอ็งเห็นเสือโคร่งเป็นห่าอะไรหละ
วรวุฒิ:"ส่ายหน้าอันซีดๆ
ไห้พรานเฒ่า แล้วเอนหลังลงเปล แล้วหลับตาคิดอะไรไปมาอยู่ในสมอง ไม่รู้ว่านานเท่าใด
ที่เขาคุ่นคิดอยู่ และเวลาก็ล่วงเลยไป
.....หนุ่มคนเมืองสะดุ้งอีกครั้งเมื่อพรายเฒ่าสะกิดให้ลุก
เมื่อลุกขึ้นมาเห็นพรานเฒ่าดูดบุหรี่อย่างสบายใจ แล้วยิ้มไห้ เขาก็ยิ้มตอบ
ตาสาย:เป็นไงบ้างหละไอ้หนุ่ม
ยังสบายดีอยู่ไหม "พูดพรางยิ้ม"
วรวุฒิ: ถามอะไรของพรานหนิ
ฉันก็นอนใกล้ๆพรานตั้งแต่ค่ำยันเช้าหนิ เฮ้อ
ตายสาย:เออๆ ดีๆ
เก็บเปลแล้วลงไปพิจารณาไอ้3ตัวนั่นกันไอ้หนุ่ม5555 วันนี้ดีแท้หวะ ได้ตังใช้แล้วกู
เดี๋ยวพวกนั้นก็มากันแล้ว ข้านัดมันมาหามเองตอน8โมงหนะ 55555
วรวุฒิ: ปาดโธ่ ตาพรานเฒ่าเจ้าเล่เอ้ยยย555"เขาพูดอมยิ้มแล้วคิดดูเรื่องเมื่อคืน
ถ้าเขาใจไม่ดีพอ คงโดดเหมือนที่แกว่า"
ไม่ถึง30นาที
กลุ่มนายพรานทั้ง4คนก็มาถึง
พรานเอิ้น:"จ้องมองหนุ่มชาวกรุงอย่างทึ่ง"
โอ้โฮ้ ยิงหมูทีได้2ตัวเลยเลอะ นัดกันอีท่าไหนหนิตาเฒ่าถึงยิงได้พร้อมกัน
ตาสาย:ปล่าวหมูหนะหนุ่มนั่นยิง
ข้ายังทึ่งไม่หาย มันเล่นเอาอย่างกะจับวาง
พรานเอิ้น:แล้วไอ้ลายพลาดกลอนนี่หละ
ตาสาย:ทีแรกข้าก็จะปล่อยมันยิงแล้วแหละ
ไอ้ห่ารากนี่นั่งจ้องซะงั้น กูยิงโป้งออกไป มันดันตะคอกด่ากูว่ากูยิงคน
กูด่ากลับแล้วมันก็ขอโทษกู ทำหน้าซีดแล้วก็กรนครอกๆไป พึ่งตื่นเมื่อกี้เองแหละ
งงกับมันซิ๊บหาย ไปๆ หามกลับ หุงหาอาหารแล้วก็พักผ่อนเก็บของเข้าป่าไหญ่
ฝีมือมันดีแท้ไอ้นี่ ไม่ต้องจงต้องจ้างหรอกไอ้หนุ่ม ไปฟรีพวกข้าก็ไห้ไป...
ครั้นแล้วทั้ง6คนก็หามหมูป่า2ตัว
และเสือโคร่ง1ตัว เดินทางมาที่รถ แล้วก็นั่งรถจิ๊บ2คันบุกป่าไล่ตามกันมาจนถึงหมู่บ้าน!!!ครั้นรถจิ๊บกลางทั้งสองคันถึงหมู่บ้าน
ทั้ง6คนก็ต้องแปลกใจไปตามๆกัน เพราะลานกลางบ้านไกล้ๆกับบ้านของพรานเอิ้น
เห็นผู้คนมุงอยู่หนาแน่น พรานเอิ้นก็กระโดดลงจากรถแล้วเดินไปที่จุดนั้น
โดยมีอีก5คนเดินตามหลัง พรางเรียกถามชาวบ้านว่า...มีอะไรกันหละ
ชาวบ้าน: ตาพราน
แย่หละไอ้เสือมันตะครุบพ่อเฒ่าม้วนคับ มันตะครุบช่วงบ่ายมื้อวาน
ห่างจากอ่างหมาขาวกิโลเศษ พวกผม พากันไผหาหน่อไม้แล้วแยกจากแก
เพราะแกขึ้นเจาะเอาลูกนก เราเลยไม่รอ พอย่ำค่ำเดินมาจุดเดิมเห็นแกนอนหงายหน้า
ท้องแหวอะหวะ เราเลยรีบเข้าไปดูศพ เห็นรอยเสือไหญ่ มันย่ำอยู่แถวนั้นทั่วเลยคับ
แล้วก็เห็นชิ้นส่วนขนาด3นิ้วหนังลายๆ เราก็แน่ใจว่าก่อนสิ้นใจแกคงฟันถากๆมัน
พรานเอิ้น:เอาหละๆ ผมจะตามจัดการมันเอง
ทักคนไม่ต้องวิตกกังวล...
เมื่อหนุ่มชาวกรุงเห็นหน้าศพถึงกับผะหงะ
แล้วเอามือสะกิดพรานเฒ่า
วรวุฒิ: นี่ๆๆๆ ลุๆๆ ลุง สาย โศะๆๆ
ศพนั่นน่ะๆๆ หน้าคล้ายๆกะที่ฉันเห็นเลยยย ตะๆตอนที่ฉันกะลุงนั่งห้างหนะ
เห็นตาแก่คนนี้แหละเดินๆมาแล้วก็ก้มกินน้ำ
ตาสาย: เฮ้ยย กูว่าล๊ะ ทำไมถึงไม่ยิง
ว่าแล้วแกก็วิ่งเหยาะๆไปดูเสือ
แล้วก็วิ่งเหยาะๆกลับมา แล้วบอกกะบคนแถวนั้นว่า ไม่ต้องตามมันล๊ะ
นอนตายอยู่บนรถจิ๊บนั่นไง55555
ชาวบ้านเข้ามาตรวจดูศพ เสือ
หลังจากเห็นข้างซ้ายของใบหน้ามันแหว่งไปก็คลายความสงสัยว่าไอ้เดรัจฉานตัวนี้เป็นฆ่าตกร
ต่อมา พรานทั้ง5 กับ หนุ่มชาวกรุงก็มาประชุมหารือข้อตกลงกับค่าจ้างของหนุ่มชาวกรุง
พรานเอิ้น:คุณต้องการจ้างวารผมนำทางไปที่ไหนหรอคับ
วรวุฒิ:ที่ไหนก็ได้คับที่เป็นป่าไหญ่
เพราะผมอยากใช้ชีวิตในป่าเพื่อการพักผ่อน ล่าสัตว์ และต้องการอยู่นานๆ
ยิ่งนานยิ่งดี ส่วนของที่ได้เช่น เขา หนัง และเนื้อ ผมไม่ขอส่วนแบ่งหรอก
ถ้าผมขอก็ขออิ่มไปมื้อๆเท่านั้น
พรานเอิ้น:เอิ่มมม ผมรู้อยู่ก่อนแล้วว่าตัวตนจนิงๆคุณเป็นใคร
แล้วก็เป็นยังไง คุณวรวุฒิ เพราะก่อนที่ผมจะมาเป็นพรานผมก็เป็นนักศึกษา
ในกรุงเหมือนกัน แต่ติดที่ผมเงินน้อย ผมเลยเรียนไม่จบ
วรวุฒิ:5555 ขอโทษคับที่ไม่ได้บอก
แล้วก็อย่าบอกพรานอีก4คนขิงคุณหละ โดยเฉพาะพรานเฒ่า เพราะผมชอบแกมาก เดี๋ยวความเป็นกันเองจะหายไป..
4พรานผู้ซื่อๆ
ได้แต่ฟังพรานไหญ่กับหนุ่มชาวเมืองถามตอบกันโดยไม่สนใจอะไร
แล้ว4พรานก็ผละไปเตรียมของต่างๆเพื่อออกเดินป่าวันพรุ่ง
พรานเอิ้น:
แล้วคุณท่านจะไห้ค่าจ้างพวกเราเท่าไหร่คับ
วรวุฒิ:
อย่ามากพิธีรีตรองเลยตาพรานเรียกฉันเหมือนเดิมดีแล้ว ฉ้นไห้สองแสน
และลูกปืนกับปืนที่ฉันเอามาทั้งหมด
พรานเอิ้น:หาาาา มันมากไปน๊ะคับ
วรวุฒิ:ถือว่าเป็นน้ำใจจากฉันน่า
รับไว้เถอะ ถ้าไม่เห็นแก่นายก็เห็นแก่แม่และครอบครัวของ4พรานเคียงกายของพรานเถอะ
พรานเอิ้น:ขอบคุณคับ
บุญคุณนี้ผมจะไม่ลืมเลยย
วรวุฒิ:เตรียมของเถอะ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแล้วหนิ
อย่าลืมเอาลูกหาบไปด้วยหละ เดี๋ยวฉันจ้างเอง เอาซั๊ก10คน ไปนานๆ พวกพรานจะได้เขา
ได้งา ได้หนังได้เนื้อเยอะๆ
พรานเอิ้น:ขอขอบพระคุณท่านอีกครั้งน๊ะคับ
พอจบประโยคพรานเอิ้นก็ไปหาจ้างคนที่พอจะมาเป็นลูกหาบในการเดินทางออกป่า..
เสียงดังอื้ออึงมาทำไห้พรานไหญ่กับหนุ่มชาวกรุงตื่นในเช้าวันนั้น
พอทั้ง2เดินออกมาก็พบว่ามีชายฉกรรประมาณ20กว่าคนบางคนก็ร่างกายกำยำ บางคนก็ผอมๆ
แต่ทุกคนมีปืนลูกซองบ้าง ปืนคาบศิลาบ้าง แตกต่างกันไป
บางคนที่ซุ๊บซิบกันเห็นว่ามารอแต่ใกล้รุ่ง เพราะรู้ว่าหนุ่มชาวกรุงคนนี้ให้ราคาที่สูงในการจ้างลูกหาบ
บางคนยกมือไหว้อ้อนวอน บางคนแทบจะกราบ พอหนุ่มชาวกรุงผู้เป็นนายจ้างแจ้งจุดประสงค์
ว่าจะไปนาน และไกล ก็มีคนถอดใจถ่อกลับบ้าง แต่ที่เหลือก็11 คน
หนุ่มชาวกรุงเลยรับไว้ทั้งหมด หลังจากบอกการงานกับลูกจ้างแล้ว
ก็ไห้ลูกจ้างที่จะเป็นลูกหาบ ไปบอกลาครอบครัวและแตกแจงงาน ก่อนออกเดินทาง
วรวุฒิ:นี่พราน ลูกหาบที่นี่เป็นไงบ้าง
พรานเอิ้น:ก็ดีคับ ไม่โอดไม่โอย
ตายไหนฝังนั่น ไกล้ๆบ้านจึงจะเอาศพมา
วรวุฒิ: มันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ
พรานเอิ้น:คับพวกนี้ง่ายๆ
ง่ายกว่าที่คุณคิด ทรหดอดทน ซ้ำยังเป็นรั้วกันไพรชั้นดีเลยแหละคับ
เพราะทุกคนเป็นลูกไพรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่พวกมันกลัวคือสิ่งลี้ลัพธ์
เพราะคนบ้านป่าส่วนมากกลัวผี ถ้าทำดีกับพวกมัน พวกมันก็จะรัก ถ้าเป็นกันเองแบบคุณ
พวกนี้ตายแทนคุณในป่าก็ยังได้555
วรวุฒิ:555พูดเป็นเล่นน่าา
พรานเอิ้น: คอยดูเอาคับ
ถึงเวลาแล้วคุณจะรู้ว่าพวกนี้ดีแค่ไหน....เมื่อตระเตรียมสัมภาระเรียบร้อยแล้ว
วรวุฒิ พรานเอิ้น พรานสาย พรานขัน พรานลี พรานดำ
และพร้อมพวกลูกหาบก็ออกเดินทางสู่ป่าไหญ่
ภาหณะใช้เดินทางไม่ใช่รถจิ๊บกลางที่เคยใช้
แต่เป็นเกวียน3เล่มควายอีก9ตัว สาเหตุที่นำควายมาเยอะ นายพรานไหญ่บอกว่าตัวไหนมันเหนื่อยก็เปลี่ยนตัวไหม่เข้าไปแทน
วรวุฒิเลยเข้าใจ และเช่าควายและเกวียนมาเพื่ออำนวยความสะดวก
หลังจากที่ออกเดินทางมาได้ประมาณ20กิโลแรก วรวุฒิ ก็เริ่มการยิงสัตว์
โดยเริ่มจากการยิงเก้ง ยิงกระจง ยิงไก่ป่า ยิงค่าง
ไปตามทางโดยเขาสังเกตุทุกคนว่าทำไมไม่ยิง แล้วทุกครั้งที่เขายิง
ก็มีลูกหาบสองถึงสามคนมาแย่งซองลูกปืนที่ยิงไปแล้ว
เดินมาซักระยะหนึ่งเขาก็เกินความสงสัย
วรวุฒิ: นี่พรานลี
ทำไมพอผมยิงปืนออกไปแล้วลูกหาบของเราทำำมเก็บซองลูกปืนของผมหละคับ
พรานลี:ออ นั่นหนะหรอนาย
พวกนั้นเก็บเอาไปอัดไหม่คับ มันเป็นชีวิตจิตใจพวกมันเลยแหละ แถวเมืองไหญ่
อาจตกลูกไม่กี่บาท แต่แถวบ้านป่าอย่างเราตกหลายบาทเลยแหละคับ
อาจเป็น10เท่าของราคาก็มี พวกนี้เขาเอาดินปืนมาอัดแล้วเอาลูกไส่
ก็ประมาณนี้แหละคับ
วรวุฒิ:เอ้ออ แล้วมันยิงได้หรอ นายพราน
พรานลี:ผมก็เห็นพวกมันยิงนก ยิงกวาง
บางทียิงวัวยังล้มเลยคับ
วรวุฒิ:งั้นตอนพักเกวียนลีช่วยแจกลูกปืนไห้ลูกหาบเราคนล๊ะกล่องก่อนและกัน
พรานลี:โอ้
พวกนั้นจะขอบคุณนายเป็นอย่างมากเลยคับ
"พูดแล้วพรานลีก็ยิ้มอย่างไม่หุบอยู่นาน"เมื่อคณะของวรวุฒิ
เดินทางมาไกล้ริมลำธารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทั้งคณะก็พากะพัก ระหว่างนั้นพรานลีก็ขึ้นไปที่เกวียนแล้วเรียกลูกหาบมาแล้วเขาก็โลนกล่องลูกกระสุนไห้คนล๊ะกล่อง
ส่วนพรานทั้ง5นั่งๆ นอนๆอย่างสบายใจเฉิบ แล้วพรานไหญ่ก็สั่งลูกหาบก่อไฟ หุงหาอาหาร
หาน้ำ มาต้มและใส่ภาชนะเอาไว้ แล้วเขาก็มานั่นกับหนุ่มเมืองกรุง
วรวุฒิ: นี่พรานเอิ้น
พรานไปรู้จักกับพรานทั้ง4ยังไงหละคับ
พรานเอิ้น:ตาเฒ่านั่น เป็นพรานไหญ่
ดงพลับพลึง ไปทำอีท่าไหนไม่รู้ แกวิ่งหนีหมีเตลิดมาหาผม ผมกำลังนั่งปลดทุกอยู่
แกโดดข้ามหัวผมเฉยเลย หมีควายตัวไหญ่ก็วิ่งมาโทงๆ
ขณะที่ผมนั่งมันจะถึงตัวผมอยู่แล้ว ผมก็ทำอีท่าไหนไม่รู้
ใช้มีดกระทุ้งซวกเข้าที่คอ แล้วก็อกมันตั้งหลายที หลังจากนั้นก็กระโจนวิ่งผะออกมา
หมีมันก็ล้มตึง ตาเฒ่าเลยนับถือ ติดตามผมมาเลย ไอ้ลีกับไอ้ขัน มันเป็นขโมยมาก่อน
ผมไปเห็นมันถูกตีแทบตาย ผมกับตาสายก็เลยขอไว้ มันเลยนับถือผม
และอยู่กับผมมาจนทุกวันนี้ ส่วนไอ้ดำหนะ พ่อแม่มันถูกเสือขบคอ ผมเลยเอามันมาเลี้ยง
ตั้งแต่มาจากกรุงไหม่ๆนู่นแหละ ไห้ไปเรียนทำเป็นจะป่วย พอชวนเข้าป่า
เป็นไข้จนจะหามลงหลุม มันก็แบกปืนระริกระรี้ เห็นหน้าแก่ๆ
มันอายุ20ต้นๆเองคับ55555
วรวุฒิ:เอ้อ5555 แต่ล๊ะคนดีแท้ๆ 5555
หลังจากนั้นคณะเดินทางก็ทานอาหารกันอย่างลูกป่าลูกไพร
คือกินร่วมวงกันโดยไม่มีสูงกว่า ต่ำกว่า ไม่มีนาย
ไม่มีบ่าว....หลังจากพักทานอาหารตอนบ่าย4โมงของวัน
พรานก็ตกลงจะแยกย้ายกันไปขึ้นห้าง เพื่อหาเนื้อหาเสบียงมาตุนไว้
ดำ:นายคับ
พวกน้าๆเขาจะแยกกันไปขึ้นห้าง นายไปลองกะผมไหม
ขัน:นายไปกะผมดีกว่า ผมแก่กว่ามัน
ผมย่อมดูแลนายได้
วรวุฒิ: มานงมานายทำไมหละ
เรียกชื่อก็ได้ เราคนกันเอง
ขัน:ชื่อยาวเหมือนทางเข้าบ้าน
เรียกยาวๆเดี๋ยวสัตว์ก็ตื่นพอดี เรียกนายนี่แหละ เหมาะดี 555
วรวุฒิ:"ตะโกนเรียกพรานเฒ่า"
พรานสายๆ
ตาสาย: อะไรของแกว๊ะ ไอ้หน้าขาว
วรวุฒิ: ขอขึ้นห้างด้วยคนสิ
ตาสาย: ไม่เอาหวะ แกไปกะเด็กๆพวกนั้นเถอะ
ขี้คร้านจะดูแล
วรวุฒิ: 55 คับๆๆ
คนกี่นี่เรื่องมากเนาะ "แล้วหันหน้าไปถามขัน"
ขันพวกลูกหาบไม่ไปขึ้นห้างหรออ"
ขัน:ไอ้พวกนี้กลัวผีคับนาย
มันไม่กล้าออกล่า หรือขึ้นห้างกลางคืนหรอก
วรวุฒิ:งั้นฉันไปกับขันก็ได้
แล้วพวกพรานอีก4คนนั้นหละ เขาขึ้นกะใครบ้างหรอขัน
ขัน:แยกๆกันไปหนะคับ
ขึ้นคนล๊ะที่เลยแหละนาย พวกนั้นไม่กลัวอะไรหรอก ตอนเดินกูเบาอย่างกับแมว
หูดีปานปีศาจ ตื่นไวปานยังไม่หลับ
วรวุฒิ:งั้นขันไปส่งฉันที่
เหมาะสมแล้วขันก็ผละไปน๊ะฉันจะนั่งคนเดียว
ขัน:จะเหมาหรอนาย
วรวุฒิ:เออน่า
เดี๋ยวมันก็ชินไปเอง"พูดจบก็ยิ้มไห้ขัน"
พอคุยกันเสร็จขันก็พาออกเดินจากแคมป์ที่พักประมาณกิโลเศษๆ
แล้วไห้นั่งที่แอ่งน้ำเล็กๆ ไห้ขึ้นต้นมะขามขนาดโอบ ชี้กิ่งที่จะไห้ผูกเปล
แล้วขันก็เดินจากไป.....เมื่อผูกเปลเข้ากับกิ่งไม้ทั้ง2กิ่งพอเหมาะนอนดูดบุหรี่ประมาณไกล้หมดมวล
เขาก็ไดเยินเสียง