อาถรรพ์ป่าเขาใหญ่ : ผีพรางตา
 |
อาถรรพ์ป่าเขาใหญ่ : ผีพรางตา
|
ดงพญาไฟ หรือ
ดงพญาเย็น ส่วนหนึ่งในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งเคยเป็นป่ารกทึบอันตรายเป็นที่ล่ำลือกันว่ามีทั้งสัตว์ร้ายและ
อาถรรพ์จาก
ภูตผี เ
จ้าป่าเจ้าเขา บัดนี้ได้มีถนนตัดผ่านพื้นที่ป่าบางส่วนและเปิดเป็นสถานที่ท่องเทียวเชิงอนุรักษ์ที่มีคุณค่าแต่ก็ยังคงความลึกลับไม่เปลี่ยนแปลงทั้งยังมีผู้คนมากมายที่สูญหายเข้าไปในป่าอย่างไร้ร่องรอยไม่มีใครได้พบเจอพวกเขาอีกเลยบางส่วนที่รอดออกมาได้ก็มักมี
เรื่องเล่าแปลกประหลาดพิศดารมาให้ได้ตื่นเต้นกันอยู่เรื่อยไป
มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่14 เมษายน 2552 ด.ญ.ณัชชา โป่งสันเที๊ยะ หรือน้องเอ๊ะวัย 7 ปี พร้อมครอบครัวพากันไปเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และได้ลงเล่นน้ำตกกรองแก้วเพราะเห็นว่าดูปลอดภัย มีนักท่องเที่ยวเยอะและอยู่ใกล้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานไม่ห่างจากเจ้าหน้าที่อุทยานมากนัก
วันนั้นมีนักท่องเที่ยวมากมายเพราะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดีเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นไปอย่างปกติ และเมื่อถึงเวลาเดินทางกลับบ้านทุกคนขึ้นรถกลับและออกรถไปจนกระทั่งออกจากตัวอุทยานปรากฎว่าลืมเด็กหญิงเอ๊ะเอาไว้ราวกับว่าทุกคนพร้อมใจกันลืมซะอย่างนั้น(มีคนทั้งหมดตั้ง 15คน) เมื่อรู้ตัวจึงรีบกลับไปรับน้องเอ๊ะตรงบริเวณเดิมที่ลงเล่นน้ำแต่เมื่อกลับมาถึง ต่างก็ไม่เจอน้องเอ๊ะอีกแล้ว พ่อแม่และญาติ ๆตกใจมากจึงรีบแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทันที ทุกฝ่ายต่างตกใจและเป็นห่วงเด็กเพราะยังเล็กมากนายมาโนชหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่รีบประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูจำนวน15 นายพร้อมเกณฑ์เจ้าหน้าที่อุทยานทั้งหมดกระจายกันออกไปตามหาเด็กหญิงทันทีโดยกำชับว่าให้ค้นหาทุกซอกทุกมุมโดยเฉพาะบริเวณแหล่งน้ำกำลังส่วนหนึ่งดำน้ำค้นหาตั้งแต่น้ำตกชั้นที่ 1 ลงไปจนถึงชั้นที่3 เผื่อว่าเด็กจะพลักตกน้ำ แต่ก็ไม่พบร่องรอยแต่อย่างใด
จนถึงเวลาค่ำไม่สามารถดำเนินการค้นหาได้อีก เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจหยุดการค้นหาชั่วคราวพ่อแม่และญาติของเด็กร้องไห้กันระงมราวกับเด็กเล็ก ๆ อย่างน่าเวทนาทุกคนพากันไปกราบไหว้
เจ้าพ่อเขาใหญ่เพื่อให้คุ้มครองน้องเอ๊ะจากอันตรายและสัตว์ร้ายทั้งปวง วันที่16 ก็ยังไม่พบตัวน้องเอ๊ะ ไม่พบแม้แต่ศพ ความหวังเริ่มหมดลงทุกทีพ่อแม่เด็กเริ่มใช้วิธีทาง
ไสยศาสตร์เข้าช่วย มีการขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขานิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีเปิดป่าต่าง ๆ นานาเจ้าหน้าที่ยังคงค้นหาต่อไปแทบจะเรียกได้ว่าพลิกแผ่นดิน โดยเฉพาะตามแอ่งน้ำ ซอกหินบริเวณที่เด็กเล่นน้ำอยู่ครั้งสุดท้าย
จนกระทั่งวันที่17 อยู่ ๆ เจ้าหน้าที่ก็พบน้องเอ๊ะซึ่งสวมเสื้อยืดคอกลมสีส้มกางเกงขาสั้นสีเทานอนสลบอยู่บนโขดหินบริเวณใกล้กับที่เธอลงเล่นน้ำนั่นเองสภาพของเธออิดโรยอ่อนเพลีย เนื่องจากไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลาถึง 4 วัน 4 คืน ได้แต่อาศัยน้ำตามแอ่งน้ำตกประทังชีวิตตามลำตัวพบทากดูดเลือดจนตัวเป่งเกาะอยู่ 20 ตัวและเห็บกัดเกาะตามลำตัวอีกเป็นร้อย เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที หลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์เหลือเชื่อถูกถ่ายทอดออกจากปากของเด็กหญิง ทำให้หลายคนถึงกับตกตะลึงเพราะเธอเล่าว่า เธอนั่งอยู่บริเวณโขดหินที่เดิม รอให้พ่อแม่กลับมารับไม่ได้ย้ายไปไหนเลยพอตกกลางคืนเธอก็เข้าไปหลบตามซอกหินด้วยความหวาดกลัวความมืดและสัตว์ร้ายพอรุ่งขึ้นมีคนมาเที่ยวบริเวณนั้นมากมาย เธอพยายามดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีใครมองเห็นเธอเลยสักคน…
ทั้งพ่อแม่และเจ้าหน้าที่อุทยานเชื่อว่าเด็กหญิงไม่ได้โกหกเพราะเธอคงไม่กล้าเดินเข้าป่าลึกเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้ที่มาท่องเที่ยวไม่เว้นแต่เจ้าหน้าที่อุทยานเองก็เคยหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เชื่อว่านี่คือการเล่นตลกของ
ผีป่าหรือเจ้าที่เจ้าทางหรือที่เรียกกันว่า “
ผีบังตา” นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น